วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

รับสมัครเยาวชนไทยโครงการเยาวชนอาเซียนจีน

รับสมัครเยาวชนไทยโครงการเยาวชนอาเซียนจีน
ด้วยประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดโครงการเยาวชนอาเซียนจีนเพื่อสร้างประชาคมอาเซียนที่เอื้ออาทรและแบ่งปัน (ASEAN – China Youth Caring and Sharing Programme) ณ ประเทศไทย (กรุงเทพฯ)และสาธารณรัฐประชาชนจีน (ยูนนาน)โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างเยาวชนอาเซียนและจีนทั้งในด้านสังคม ความตระหนักในการเป็นประชาคม ความหลากหลายในภูมิภาครวมทั้งเพื่อสร้างเครือข่ายระหว่างเยาวชนอาเซียน – จีนอันจะนำไปสู่การสนับสนุนการพัฒนาเยาวชนในด้านต่างๆ เช่น ภาวะผู้นำการปรับตัวตลอดจนสนับสนุนบทบาทของประเทศไทยในการทำหน้าประเทศผู้ประสานงานความสัมพันธ์อาเซียน – จีน ในเดือนกรกฎาคม 2555

คุณสมบัติ
1.อายุระหว่าง 16-18 ปี
2.กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
3.มีทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี
4.มีความรู้เรื่องอาเซียน และความสัมพันธ์อาเซียนจีนเป็นอย่างดี
5.มีทักษะความเป็นผู้นำ
6.มีมนุษยสัมพันธ์ดี และสามารถทำงานเป็นทีมได้
7.มีไหวพริบปฏิภาณดี
8.มีสุขภาพสมบูรณ์ แข็งแรง ทั้งร่างกายและจิตใจ
9.สามารถเข้าร่วมโครงการได้ตลอดระยะเวลาของโครงการฯ

กำหนดวันรับสมัครและการพิจารณาคัดเลือก
ตั้งแต่วันที่ 1-15 กุมภาพันธ์ 2555

น้องที่สนใจสมัคร สามารถดาวน์โหลดรายละเอียดโครงการ และใบสมัครได้จากเอกสารประกอบข่าวนะคะ

สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
หมายเลขโทรศัพท์ 02-2816370 ต่อ 120 และ 111
หรือE-mail: multilateral.unit2@gmail.com

เอกสารประกอบข่าว

รายละเอียดโครงการ
ใบสมัคร

การประชุมสัมมนาถอดประสบการณ์การจัดการความรู้สอนภาษาต่างประเทศที่ 2 ในโรงเรียนมาตรฐานสากล

การประชุมสัมมนาถอดประสบการณ์การจัดการความรู้สอนภาษาต่างประเทศที่ 2 ในโรงเรียนมาตรฐานสากลและนำเสนอแนวทางการสร้างเครือข่ายร่วมพัฒนาระดับชาติและนานาชาติ "World - Class Standard Schools Regional Symposium:Partnerships & Foreign Language Learning Conference"

ด้วย สพฐ. กำหนดจัดการประชุมสัมมนาถอดประสบการณ์การจัดการความรู้สอนภาษาต่างประเทศที่ 2 ในโรงเรียนมาตรฐานสากลและนำเสนอแนวทางการสร้างเครือข่ายร่วมพัฒนาระดับชาติและนานาชาติ "World - Class Standard Schools Regional Symposium:Partnerships & Foreign Language Learning Conference" ภาคกลาง ภาคตะวันออก และกรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 25 - 27 เมษายน 2555 ณ จังหวัดชลบุรี

เพิ่ม ชม.เรียนประถม - มัธยม คำสั่ง สพฐ.มีผลทันที อ้างแบบเดิมไม่เวิร์ก

  สพฐ.ปรับโครงสร้างเวลาเรียนใน ร.ร.ประถม-มัธยมทั่วประเทศ ให้นักเรียนประถมเรียนมากกว่า 1,000 ชม./ปี จากเดิมให้เรียนไม่เกิน 1,000 ชม.

          เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ แหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ได้ลงนามในคำสั่ง สพฐ.ให้แก้ไขโครงสร้างเวลาเรียน และเกณฑ์การจบการศึกษาตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพ.ศ.2551 ดังนี้ 

1.ให้กำหนดเวลาเรียนในรายวิชา/ กิจกรรมที่สถานศึกษาจัดเพิ่มเติมตามความพร้อม และจุดเน้น ระดับประถมศึกษา ไม่น้อยกว่า 40 ชั่วโมงต่อปี จากเดิมไม่เกิน 40 ชั่วโมงต่อปี และระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ไม่น้อยกว่า 200 ชั่วโมงต่อปี จากเดิมไม่เกิน 200 ชั่วโมงต่อปี และ 
2.กำหนดเวลาเรียนรวมระดับประถมศึกษา ไม่น้อยกว่า 1,000 ชั่วโมงต่อปี จากเดิมไม่เกิน 1,000 ชั่วโมงต่อปี ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ไม่น้อยกว่า 1,200 ชั่วโมงต่อปี จากเดิมไม่เกิน 1,200 ชั่วโมงต่อปี

          แหล่งข่าวกล่าวด้วยว่า คำสั่งดังกล่าวยังได้ปรับข้อความของเกณฑ์การจบระดับมัธยมศึกษาตอนต้นใหม่ โดยกำหนดให้ผู้เรียนเรียนรายวิชาพื้นฐาน และเพิ่มเติม โดยเป็นรายวิชาพื้นฐาน66 หน่วยกิต และรายวิชาเพิ่มเติมตามที่สถานศึกษากำหนด จากเดิมระบุว่าผู้เรียนเรียนรายวิชาพื้นฐาน และเพิ่มเติมไม่เกิน 81 หน่วยกิต

          โดยเป็นรายวิชาพื้นฐาน 66 หน่วยกิต และรายวิชาเพิ่มเติมตามที่สถานศึกษากำหนด ส่วนระดับประถมศึกษาได้กำหนดให้ผู้เรียนเรียนรายวิชาพื้นฐาน และรายวิชา/กิจกรรมเพิ่มเติมโดยเป็นรายวิชาพื้นฐานตามโครงสร้างเวลาเรียนที่หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดและรายวิชา/ กิจกรรมเพิ่มเติมตามที่สถานศึกษากำหนด สำหรับเกณฑ์การจบระดับมัธยมศึกษาตอนปลายนั้น ได้ปรับเปลี่ยนใหม่ โดยกำหนดให้ผู้เรียนเรียนรายวิชาพื้นฐาน และเพิ่มเติม โดยเป็นรายวิชาพื้นฐาน 41 หน่วย และรายวิชาเพิ่มเติมตามที่สถานศึกษากำหนด ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

          "สำหรับการแก้ไขโครงสร้างเวลาเรียนดังกล่าว สืบเนื่องจากการศึกษาวิจัยและติดตามผลการใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพ.ศ.2551 พบว่าไม่เหมาะสมกับบริบทของโรงเรียน และความต้องการของผู้เรียน จึงได้มีการทบทวนเรื่องดังกล่าวใหม่"แหล่งข่าวคนเดิมกล่าว

          นายชินภัทร กล่าวว่า การแก้ไขโครงสร้างเวลาเรียน และเกณฑ์การจบการศึกษา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพ.ศ.2551 ไม่ได้ทำให้นักเรียนต้องเรียนเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากการโครงสร้างเวลาดังกล่าวไม่ได้เพิ่มชั่วโมงการเรียนในกลุ่มสาระการเรียนรู้ปกติของหลักสูตรแกนกลาง แต่ได้เพิ่มและสร้างความยืดหยุ่นในส่วนของสาระเพิ่มเติมที่เป็นการจัดกิจกรรมต่างๆ ของสถานศึกษา ซึ่งที่ผ่านมาได้กำหนดเป็นชั่วโมงการเรียนไว้ แต่ไม่มีการยืดหยุ่นให้กับทางสถานศึกษา ทำให้ไม่สามารถเพิ่มชั่วโมงกิจกรรมต่างๆ ได้ อย่างไรก็ตาม โครงสร้างเวลาดังกล่าวมีผลบังคับใช้แล้ว แต่คงไม่กระทบกับการจัดการศึกษาของสถานศึกษาเพราะปกติแล้วสถานศึกษาได้จัดการเรียนการสอนตามชั่วโมงขั้นต่ำที่กำหนดไว้ในโครงสร้างใหม่อยู่แล้ว

          นายวรากรณ์ สามโกเศศ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่าคุณภาพการศึกษาในปัจจุบัน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการลด หรือเพิ่มชั่วโมงเรียน แต่ขึ้นอยู่กับวิธีการสอนของครูว่าจะบริหารเวลาได้อย่างมีคุณภาพมากแค่ไหน ในสมัยโบราณมีสมมติฐานว่าถ้าเรียนมาก จะทำให้เด็กเก่ง แต่ใช้ไม่ได้กับการเรียนการสอนในปัจจุบันที่ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างเด็กสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง ทั้งจากอินเตอร์เน็ต แท็บเล็ต และสื่อต่างๆ รอบตัว ดังนั้น สิ่งที่ศธ.ควรทำคือ การเพิ่มประสิทธิภาพของครูให้เข้าใจถึงการปรับตัวเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนให้เข้ากับโลกปัจจุบัน

          "การเพิ่มชั่วโมงเรียนไม่ใช่ทางแก้ปัญหาเรื่องคุณภาพการศึกษา แต่ปัญหาอยู่ที่ครูต้องรู้จักประยุกต์ใช้เวลาให้มีประสิทธิภาพมากกว่า ผมเองคิดว่าการเพิ่ม หรือลดชั่วโมงเรียนของเด็กมันล้าสมัยไปแล้วกับการเรียนการสอนในปัจจุบัน"นายวรากรณ์กล่าว
ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

การรับสมัครนักเรียน ม. 1 และ ม.4 ปีการศึกษา 2555

การรับสมัครนักเรียน ม. 1 และ ม.4 ปีการศึกษา 2555
มีการเลื่อนระยะเวลามาด้วยสาเหตุวิกฤตการณ์ำน้ำท่วม ปี 2554 เป็นหลัก อนึ่ง ในการรับสมัครนักเรียนในทั้งสองระดับชั้น จะแบ่งเป็นห้องเรียนพิเศษ คือ GIFTED และ EP 
ส่วนห้องเรียนปรกติ คือห้องที่อิงคะแนน ONET เป็นสำคัญ
โดยในปีการศึกษา 2555 มีรายละเอียดการรับสมัครที่ต่างจากปีก่อนๆ คือ การดูคะแนน ONET ของนักเรียนก่อนที่จะมาสมัครเรียนในระดับชั้นที่ต้องการศึกษาต่อเป็นสำคัญด้วย

สามารถเข้าไปสอบถามได้ที่ https://www.facebook.com/chonchaiclub


วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

หมอยืนยัน สาวๆ ที่เสพ"ยาไอซ์"หลงผิด เพราะเชื่อผิวขาวหุ่นสวย

สาวเสพ"ไอซ์"หลงผิดเชื่อผิวขาวหุ่นสวย

"ริมฝีปากแห้งแดง ชอบเลียริมฝีปากตลอดเวลา ไม่ชอบอยู่นิ่งขยับตัวไปมา ชอบพูดคุยสนุกสนาน หน้าเคลิ้มๆ แต่ถ้าต้องการยาจะหงุดหงิด"


"ขาดการควบคุมร่างกาย...ต้องการสนุก...ปล่อยตัว...มั่ว..เจอมาแล้วคร้าบบบ"

"ทำให้ตื่นตัว ไม่เหนื่อยล้า รู้สึกเคลิ้มฝัน อยู่นิ่งไม่ได้ นอนไม่หลับ เชื่อมั่นในตัวเอง ถ้าเสพหนักจะเพิ่มความต้องการทางเพศด้วย"

ในโลกอินเทอร์เน็ตมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังแชทหรือพูดคุยถึงวิธีสังเกตอาการของ "สาวยาไอซ์" หลายคนเชื่อว่าการเสพยาไอซ์ซึ่งเป็นยาเสพติดราคาแพงนั้น ไม่เหมือนกับติดยาเสพติดทั่วไป เพราะช่วยให้ผิวพรรณผ่องใสและผอมหุ่นดี !?!

"พิทยา จินาวัฒน์" ที่ปรึกษาสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ให้ข้อมูลน่าตกใจว่า ทุกวันนี้มีคนไทยเกี่ยวข้องกับวงการยาเสพติดมากถึง 8-9 แสนคน ชนิดและส่วนผสมของยาเสพติดเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ตามความปรารถนาของตลาด แต่ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่เศรษฐีคนมีสตางค์ เรียกว่ายอดขายแซงหน้ายาบ้าคือ "ยาไอซ์" โดยเฉพาะในหมู่สาววัยรุ่น ที่เชื่อกันว่าเสพยาไอซ์แล้วไม่ติด แต่จะทำให้ผอม ผิวพรรณผ่องใส ความเชื่อผิดๆ ดังกล่าวทำให้มีเด็กสาวกลายเป็นผู้เสพหน้าใหม่เพิ่มขึ้นหลายหมื่นคน
ข้อมูลจากกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดระบุว่า "ยาไอซ์" (ice) หรือ "คริสตัลเมทแอมเฟตามีนไฮโดรคลอไรด์" (Crystal methamphetamne hydrochloride) เป็นเกล็ดผลึกโปร่งใสคล้ายกระจก บางครั้งอาจใส่สีฟ้า ชมพู หรือเขียวเข้าไปด้วย คนเสพยาตั้งชื่อเรียกกันเล่นๆ ว่า "คริสตัลเมธ" (crystal meth) ชาบู ( shabu) แคร็งค์ (krank) ทวีค (tweak) ทิน่า (tina) ฯลฯ ยาเสพติดตัวนี้มีฤทธิ์กระตุ้นประสาท บางคนเสพเพื่อช่วยให้ตื่นตัวทำงานได้มากขึ้น การเสพแต่ละครั้งจะออกฤทธิ์ในร่างกายนาน 1-14 ชั่วโมงแล้วแต่ความแข็งแรงของร่างกายและปริมาณยาที่ใช้ ตัวยาจะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดอย่างรวดเร็ว หลังเสพแล้วต้องใช้เวลาอย่างน้อย 72 ชั่วโมงกว่าร่างกายจะขับสารพิษตกค้างออกไปหมด ช่วงนี้จะมีอาการตาแข็งนอนไม่หลับ
มีรายงานการพบยาไอซ์ในเมืองไทยตั้งแต่ 10 กว่าปีที่แล้ว แหล่งผลิตสำคัญของโลกอยู่ทางภาคตะวันออกของจีน แก๊งค้ายาจะส่งไปตลาดใหญ่คือฮ่องกง โดยส่งผ่านประเทศที่สาม เช่น ฟิลิปปินส์ เกาหลี ญี่ปุ่น ปัจจุบันส่งไปยังอเมริกาและยุโรปด้วย แต่ยาไอซ์ในไทยจะลักลอบนำเข้าจากพม่า แหล่งผลิตคือบริเวณสามเหลี่ยมทองคำส่งข้ามพรมแดนภาคเหนือเข้ามายังเมืองหลวง ทางตำรวจปราบยาเสพติดยืนยันว่าการแพร่ระบาดของยาไอซ์ในไทยยังไม่รุนแรงนัก ส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นมีสตางค์กับนักท่องเที่ยวต่างชาติ กลุ่นนี้จะนิยมเสพในสถานบันเทิงของกรุงเทพฯ พัทยา เชียงใหม่ หาดใหญ่ ฯลฯ แก๊งค้ายาไอซ์ส่วนใหญ่เป็นมาเฟียเชื้อสายจีน เช่น ชาวสิงคโปร์ ชาวไต้หวัน

"ยาไอซ์ เป็นอนุพันธ์อย่างหนึ่งของยาบ้า มีโครงสร้างทางเคมีคล้ายๆ กัน แต่ยาไอซ์จะบริสุทธิ์กว่า เพราะยาบ้า 1 เม็ดจะผสมไปด้วยแป้ง กาเฟอีน สารหนู ฯลฯ มีสารเสพติดที่เรียกว่าเมทแอมเฟตามีนผสมอยู่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ พวกพ่อค้ายาเสพติดเลยคิดหาวิธีทำให้บริสุทธิ์ขึ้น ก็เลยสกัดเฉพาะเมทแอมเฟตามีนออกมา 100 เปอร์เซ็นต์ ทำให้เป็นเกล็ดคริสตัลใสๆ เล็กๆ เรียกว่า ยาไอซ์ ขายกันเป็นกรัม แพงแค่ไหนก็คิดดูว่า 1 กิโลกรัมมี 1,000 กรัม พวกมันขายเป็นกรัม" นพ.สรายุทธ์ บุญชัยพานิชวัฒนา ผอ.ศูนย์บำบัดยาเสพติดอุดรธานี อธิบายถึงความร้ายกาจของยาเสพติดชนิดนี้
เมื่อถามว่า จริงหรือไม่ที่ยาไอซ์ทำให้ "ผอม ผิวสวย ขาวใส หุ่นดี" ?
หมอสรายุทธ์ยืนยันว่า เป็นความเชื่อที่ผิดมหันต์ เพราะยาไอซ์จะออกฤทธิ์ที่สมองส่วนหน้าควบคุมความอยากอาหาร แต่เป็นชั่วคราวเท่านั้น เมื่อหยุดกินก็จะกลับมาหิวโหยและกินมากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากเวลาเสพยามักไม่ค่อยมีความหิวจะรู้สึกเคลิบเคลิ้มตลอดเวลา นอนไม่หลับ เมื่อไม่กินและไม่นอนก็ทำให้ผอมชั่วคราว แต่เรื่องผิวดีนั้น รับรองว่าเป็นไปไม่ได้เพราะผู้ป่วยจากการติดยาไอซ์มักขาดวิตามิน เกลือแร่ หรือสารอาหารสำคัญที่ร่างกายต้องการ ผิวคนติดยาส่วนใหญ่จะหมองคล้ำหยาบกระด้าง

เช่นเดียวกับ นพ.ศิริศักดิ์ ธิติดิลกรัตน์ ผอ.สถาบันกัลยาราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิต อธิบายว่า ผู้ติดยาเสพติดไปนานๆ จะมีอาการทางจิตเวชหรือที่เรียกว่ามีอาการทางประสาท และไม่เป็นความจริงเสมอไปว่าผู้หญิงที่ติดยาเสพติดจะผอม เพราะบางคนก็อ้วนและติดเหล้าด้วย บางคนอาจผอมเพราะฤทธิ์ยาทำลายความอยากอาหาร ทำให้กินข้าวไม่ลง แต่เรื่องของผิวพรรณนั้น เกือบทุกคนจะมีผิวหมองคล้ำเพราะไม่มีสารอาหารไปช่วยดูแลผิว
หากสาววัยรุ่นคนใดคิดจะลดความอ้วนโดยการติดยาไอซ์ ซึ่งราคาในท้องตลาดสูงถึงกรัมละ 2,000-4,000 บาทนั้น ต้องคิดให้ดี เพราะผลที่ได้รับอาจรุนแรงกว่าแค่เป็นโรคอ้วน จิตแพทย์ข้างต้นยืนยันชัดเจนว่าอาการทางโรคประสาทของผู้ติดยาเสพติดนั้นรุนแรงและน่ากลัวสุดๆ

เครือข่ายผู้ปกครองชลชาย ONLINE